Last updated: 6 มี.ค. 2566 | 1072 จำนวนผู้เข้าชม |
หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่าจัดฟันแบบใสกับแบบเหล็ก แบบไหนดีกว่ากัน ในบทความนี้เราจะพูดถึงวิธีการจัดฟันทั้งสองแบบ และเปรียบเทียบให้เห็นว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
การจัดฟันคือวิธีการทางทันตกรรมที่ช่วยปรับโครงสร้างของปากและฟันให้มีลักษณะที่ดีขึ้น ทำให้ฟันเรียงตัวสวย กัดและเคี้ยวอาหารได้ดีขึ้น ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ ลดโอกาสการเกิดโรคในช่องปาก และแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ฟันห่างหรือฟันซ้อนเก เป็นต้น
เดิมทีเราอาจจะคุ้นเคยกับวิธีจัดฟันแบบเหล็กแต่ช่วงหลังมานี้ก็เริ่มมีการจัดฟันแบบใสออกมาเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้ที่ไม่อยากใส่เหล็ก โดยทันตแพทย์ที่คลินิกเดอะเลคซึ่งเป็นคลินิคจัดฟันขอนแก่น มีความชำนาญด้านการจัดฟันทั้งการจัดฟันใสและการจัดฟันโลหะ มองว่าการจัดฟันทั้ง 2 แบบมีข้อดีต่างกัน บทความนี้เราจึงอยากแชร์เกี่ยวกับรายละเอียดการจัดฟันทั้ง 2 แบบ เพื่อให้คนไข้ได้ตัดสินใจก่อนได้
มาเริ่มต้นกันด้วยการจัดฟันโลหะ
การจัดฟันแบบโลหะเป็นการจัดฟันที่ยังได้รับความนิยมมาก เรื่องจากราคาที่ย่อมเยา และยังมีสีสันของยางให้เลือกได้
ในปัจจุบันก็ยังมีการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงและมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ซึ่งสามารถช่วยแก้ไขปัญหาฟันห่าง ฟันซ้อนเก ฟันสบคร่อม ฟันล่างเยื้องคร่อมฟันบน ฟันยื่นคร่อมฟันล่าง และฟันสบเปิด
โดยขั้นตอนจะเริ่มจากการที่ทันตแพทย์ทำการตรวจวิเคราะห์ฟัน ช่องปาก และใบหน้าว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เพื่อดูว่าจะสามารถจัดฟันโลหะได้หรือไม่ หากวิเคราะห์แล้วว่าสามารถทำได้ก็จะเริ่มการเอกซเรย์ฟัน โดยที่คลินิกของเรามีเครื่องเอ็กซเรย์ 3 มิติ ทำให้เห็นภาพช่องปากได้ครบถ้วนมากขึ้น จากนั้นก็จะเริ่มพิมพ์แบบเพื่อตรวจสอบความผิดปกติฟัน และขั้นตอนของการวางแผนรักษา โดยเริ่มตั้งแต่การเคลียร์ช่องปาก เช่นถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน หรือถอนฟันคุด เป็นต้น
ต่อมาก็จะเป็นขั้นตอนของการติดเครื่องมือจัดฟัน โดยทันตแพทย์จะทำการปรับเครื่องมือเดือนละ 1 ครั้งเพื่อดูว่าตำแหน่งฟันเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง รวมถึงมีการปรับในส่วนอื่นด้วย เช่น ลวด ยางจัดฟัน และเครื่องมือต่างๆ ให้เหมาะสม
ระยะเวลาในการจัดฟันโดยรวมอาจเริ่มตั้งแต่ 1-3 ปี โดยเมื่อการจัดฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องใส่รีเทนเนอร์หรือเครื่องมือคงสภาพฟันด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันกลับมาสู่สภาพเดิม ซึ่งระยะเวลาในการใส่รีเทนเนอร์ก็จะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและดุลยพินิจของทันตแพทย์
การจัดฟันโลหะในช่วงแรกอาจทำให้มีอาการเจ็บซึ่งหายได้ภายใน 3-5 วัน ทำให้ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งหรือเหนียว และทานอาหารอ่อนๆ แทน หรือบางครั้งอาจเกิดเหตุการณ์เหล็กจัดฟันทิ่มที่บริเวณกระพุ้งแก้ม ซึ่งถ้าปลายลวดยื่นออกมามาก ต้องรีบพบทันตแพทย์เพื่อรักษาโดยเร็วที่สุด
การจัดฟันแบบใส (Invisalign) คือการจัดฟันโดยใช้เครื่องมือพลาสติกแบบใสที่สามารถถอดออกได้ โดยถูกออกแบบมาตามลักษณะฟันของแต่ละคนโดยเฉพาะ
เครื่องมือแต่ละชุดจะทำหน้าที่ในการจัดเรียงฟันให้เหมาะสมได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งข้อดีขอ
การจัดฟันใสก็คือทำให้สามารถแปรงฟันและรับประทานอาหารได้สะดวกมากขึ้น ดูเหมือนไม่ได้จัดฟันหากมองจากภายนอก และสวมใส่สบายกว่าเครื่องมือจัดฟันแบบเหล็กที่อาจเกิดการระคายเคืองต่อช่องปากได้ง่ายกว่า
การจัดฟันแบบใสได้รับความนิยมมากไม่ว่าจะในคนไข้กลุ่มไหน จะในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด อย่างเช่นการจัดฟันใสที่ขอนแก่นกับคลินิกเดอะเลคก็ถือว่าได้รับความนิยมมากเช่นกัน
ขั้นตอนในการจัดฟันจะคล้ายกับการจัดฟันแบบเหล็กเลย คือเริ่มด้วยการตรวจสอบสภาพฟัน รักษาฟันเพื่อเคลียร์ช่องปาก จากนั้นก็จะเริ่มดำเนินการวางแผนการรักษา
เพียงแต่ว่าการจัดทำเครื่องมือจะมีการใช้เทคโนโลยีในการสร้างภาพสามมิติผ่านกล้อง และยังมีโปรแกรมที่ช่วยแสดงวิธีการรักษาและผลิตเครื่องมือจัดฟันเป็นชุดตั้งแต่ 12-48 ชุด ตามความเหมาะสมของแต่ละคนด้วย
ระยะเวลาในการจัดฟันใสอยู่ที่ประมาณ 1-2 ปี แล้วแต่สภาพฟันและช่องปากของแต่ละคน โดยจะต้องเข้ามาพบแพทย์เพื่อปรับเครื่องมือในทุกๆ 2 สัปดาห์ โดยทุกครั้งที่เข้ามาเปลี่ยน เครื่องมือจัดฟัน Invisalign ก็จะมีความกระชับขึ้นเรื่อยๆ เพื่อปรับรูปฟันให้เป็นไปในแบบที่ต้องการ
เมื่อเปรียบเทียบกันดูแล้วจะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนเลยว่าการจัดฟันแบบใสมีข้อดีมากกว่าหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ชุดการจัดฟันแบบใสที่ถอดได้ ใช้งานสะดวก ไม่ระคายเคือง กลมกลืนไปกับสีฟันปกติ และยังสะดวกกว่าในการแปรงฟัน
ด้วยความสะดวกสบายที่ต่างกัน ทำให้จัดฟันแบบใสกับแบบเหล็กราคาแตกต่างกันอยู่พอสมควร โดยราคาการจัดฟันใส ที่คลินิกเดอะเลคจะอยู่ที่ประมาณ 55,000-140,000 บาท และการจัดฟันเหล็กจะอยู่ที่ประมาณ 30,000-50,000 บาท โดยหากเป็นคลินิกเดอะแกรนด์จะเริ่มต้นติดตั้งเครื่องมือที่ 1,000 บาท ทั้งนี้ผลลัพธ์ของการจัดฟันออกมาไม่ต่างกัน และยังคงได้รับความนิยมทั้ง 2 รูปแบบ
อย่างไรก็ตามการเลือกจัดฟันแบบใสหรือแบบโลหะก็ขึ้นอยู่ตามความต้องการของแต่ละคน และต้องลองดูว่าตนเองเหมาะกับการจัดฟันแบบไหนมากกว่า เพราะเรื่องราคาก็อยู่ที่ความยากง่ายของสภาพฟันของแต่ละคนด้วย แนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์เพื่อประเมินแผนการรักษา และแนะนำวิธีการจัดฟันที่เหมาะสมกับตัวคนไข้มากที่สุด